ติดปีก SMEs ไทย ไปสู่ตลาดโลก ครั้งที่ 3 วันนี้ เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับคุณธนธรรศ สนธีระ (โอเล่) ผู้บริหารหนุ่ม จากบริษัทสยาม เนเชอรัล โปรดักซ์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำของกลุ่มสินค้า Skin Care และผู้สร้างสรรค์แบรนด์ที่ชื่อ Snowgirl ครีมซองยอดนิยมที่วางจำหน่ายตาม 7-11 และซูเปอร์มาเก็ตชั้นนำในประเทศไทย
จุดประกายสู่เส้นทาง
จริงๆ แล้ว ผมเรียนจบสาขาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางค์ จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง โดยส่วนตัวเป็นคนที่อยากจะมีธุรกิจเป็นของตนเอง จึงพยายามศึกษาหาความรู้ทุกช่องทาง จนมาพบกับรายการที่ชื่อว่า “คลินิกอุตสาหกรรม” ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เมื่อ 20 ปีที่แล้ว รายการนี้ จึงเป็นเหมือนตัวจุดประกายและสร้างแรงบันดาลใจในการก้าวเข้าสู่เส้นทางการเป็นผู้ประกอบการณ์เต็มตัว
หลังจากเข้าฝึกอบรมกับทาง NEC (โครงการส่งเสริมผู้ประกอบการณ์หน้าใหม่) ก็ถึงเวลาเข้าสู่โลกของความเป็นจริง เริ่มแรกผมผลิตสินค้าประเภทสบู่ แชมพู และผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากข้าว เพื่อจำหน่ายตามงานสินค้าโอท็อป ซึ่งได้เสียงตอบรับที่ดีมาก แต่เพื่อความยั่งยืนแล้ว เราจำเป็นที่จะต้องหาคู่ค้าที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดูสากลและดูมีมาตรฐานน่าเชื่อถือ
เมื่อเป้าหมายถูกกำหนดแน่ชัด จึงได้ทำการติดต่อไปทาง 7-11 เพื่อขอจำหน่ายสินค้า ช่วงระยะแรก เราเข้าสู่ตลาดด้วยแบรนด์ที่ชื่อ “เนเจอร์ริช” จำหน่ายสินค้าผ่านทางหนังสือแคตตาล็อก ตอนแรกยอดขายก็ไม่ค่อยดีนัก คือมีคนเห็น มีคนรู้ แต่มีคนซื้อน้อย ถ้าหากผมล้มเลิกในทันที สิ่งที่สร้างมาก็จะสูญเปล่า ผมจึงใช้วิธีดึงนักร้องลูกทุ่งและนางงามเข้ามาเป็นพรีเซนเตอร์ ระยะเวลาไม่นานนัก ก็ได้ผลตอบรับที่ดีมาก ทำให้บริษัทสามารถสร้างรายได้ถึงหลักล้านบาทต่อเดือน
พอทำไปได้สักระยะใหญ่ๆ ก็มีสินค้าที่เป็นแบรนด์เครื่องสำอางค์เกาหลีเข้ามาทำตลาดในไทย ซึ่งตอนนั้นกระแสแรงมาก ผมก็เลยกลับมาคิดว่าหากเราไม่รีบปรับเปลี่ยนอะไรสักอย่าง อาจจะได้รับผลกระทบทางด้านยอดขาย ผมจึงพยายามมองหาวัตถุดิบต่างๆ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ จนมาพบว่าวัตถุดิบจากประเทศญี่ปุ่นนั้นน่าสนใจ จึงได้รีบทำการติดต่อหาคู่ค้าบริษัทญี่ปุ่นเพื่อสั่งวัตถุดิบ ทั้งสร้างผลิตภัณฑ์และแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ Snowgirl
เสียงตอบรับจาก AEC
ในด้านของตัวแทนจำหน่ายและลูกค้าทั่วไป ต้องบอกว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา “เวียดนาม” มาแรงมาก มีการสั่งซื้อสินค้าจาก Snowgirl หลายแสนล็อต ทั้งมีลูกค้าบางรายถึงกับบินมาเหมาสินค้าเองที่ไทย ทำให้การผลิตของเรา ต้องแพลนกันล่วงหน้าเป็นเดือนๆ นอกจากที่เวียดนามแล้ว ก็ยังมีที่พม่าและลาวที่เป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ของเรา โดยเฉพาะคอลเลคชั่น Princess ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นที่นิยมจากบรรดาบิวตี้บล็อกเกอร์และเหล่าสาวกที่ชื่นชอบตัวกาตูนจากเรื่อง Frozen
ส่วนสาเหตุที่ทำให้สินค้าประเภทเวชภัณฑ์และเครื่องสำอางค์เป็นที่นิยมนั่นก็เพราะสินค้าไทยมีคุณภาพมาตรฐานดี มีการผลิตที่น่าเชื่อถือ ทั้งสูตรต่างๆ ก็เหมาะกับสภาพผิวของคนเอเชีย ทั้งเรื่องของราคาก็ไม่ได้สูงนัก หากนำไปเทียบกับญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้ ดังนั้น สินค้าไทยจึงสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคตรงส่วนนี้
ร่วมกับแบรนด์ดังระดับโลก
สิ่งที่ช่วยให้แบรนด์ Snowgirl เป็นที่รู้จักในต่างประเทศก็คือ การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ร่วมกับแบรนด์ดังอื่นๆ ที่ผ่านมาเรามีโอกาสร่วมงานกับทาง Walt Disney ของฝั่งอเมริกา ซึ่งผมมองว่า Snowgirl กับตัวละครเอลซ่า หากนำมาผสานเป็นคอนเซ็ปต์เดียวกัน จะเป็นอะไรที่ดูลงตัวมาก แต่ถ้าซื้อลิขสิทธิ์มาใช้ เราจำเป็นที่จะต้องซื้อแบบยกเซ็ต ทำให้แพ็คเกจ Princess ของ Snowgirl มีตัวละครจากกาตูน Frozen แทบทุกตัว ไม่ว่าจะเป็นอันนา คริสตอฟฟ์ โอลาฟ เจ้าชายฮานส์ หรือแม้แต่สเวนกวางเรนเดียร์แสนซน
แบรนด์ดัง เช่น ELLE ทาง Snowgirl ก็มีโอกาสได้ร่วมงานด้วย เมื่อเดือนก่อน ก็พึ่งจะมีผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งที่ถูกปล่อยออกมา ซึ่งก็คือครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมจากเมล็ดองุ่น ไวน์แดง และไข่ปลาคาเวียร์ และด้วยความพิเศษของผลิตภัณฑ์นี้ ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ Snowgirl ดูมีความทันสมัยและเหมาะสำหรับกลุ่มสาวๆ ที่ชื่นชอบแฟชั่นและการแต่งตัว
ความสำเร็จของแบรนด์ Snow Girl
กลยุทธ์แรกที่ทำให้แบรนด์ Snowgirl ประสบความสำเร็จก็คือ เราต้องมีหลักการคิดแบบ Innovation Product กันก่อน ซึ่งประกอบไปด้วย Raw Material (วัตถุดิบที่ดี), Design (การออกแบบที่น่าสนใจ), Formulation (กำหนดจุดยืนของผลิตภัณฑ์) ทุกสิ่งทุกอย่าง จะต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และแพคเกจจิ้งอย่างเหมาะสม ขั้นตอนต่อไป ก็จะเป็นเรื่องของการร่วมกลุ่มกับคลัสเตอร์เครื่องสำอางค์ไทย เพราะการทำธุรกิจด้วยคนเดียว จะทำให้เติบโตช้า การร่วมกับกลุ่มคลัสเตอร์เครื่องสำอางค์ไทย จะช่วยเปิดโอกาสการหาตลาดกลุ่มใหม่ และทำให้รับรู้ทิศทางข่าวสารของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว และสุดท้าย การร่วมสร้างผลิตภัณฑ์กับแบรนด์ดังอื่นๆ ที่เป็นระดับ Global จะช่วยให้แบรนด์ของเรา สามารถยกระดับภาพลักษณ์และเพิ่มมูลค่าที่สูงขึ้น ทั้งเป็นการขยายฐานตลาดกลุ่มใหม่ออกสู่ต่างประเทศ
ผลกระทบจากโควิด 19
สำหรับธุรกิจเครื่องสำอางค์เมคอัพ ยอดขายลดลงมาก เนื่องจากสาวๆ พากันใส่หน้ากากอนามัย ทั้งส่งผลให้สินค้าประเภทสกินแคร์ ยอดขายลดลงด้วย เพราะไม่จำเป็นต้องบำรุงผิวจากการใช้เครื่องสำอางค์เยอะ กลับกันสินค้าประเภททำความสะอาด Cleansing กลับเป็นที่ต้องการสูง เพราะการใส่หน้ากากอนามัยจะทำให้เกิดสิว ดังนั้น Cleansing จึงเป็นสิ่งที่สาวๆ ต้องการกันมากกว่า
เราพยายามที่จะมองถึงความต้องการของผู้บริโภคในอนาคต เพราะหากโควิดเกิดระบาดรอบที่ 2, 3 อีก จะต้องมีสินค้าชนิดใดเข้ามาตอบโจทย์ได้บ้าง นอกจากเจลแอลกอฮอล์ เพราะการใช้เจลล์แอลกอฮอล์บ่อยๆ จะทำให้ผิวแห้งและลอก และนั่นก็คือโจทย์ที่เราจะต้องมาทำการบ้านกันอย่างหนัก เพื่อพัฒนาสินค้าตัวใหม่ต่อไป
ช่วงที่โควิด 19 ระบาดใหม่ๆ องค์กรของเราก็มีการปรับเปลี่ยนไม่น้อย อย่างเรื่องของการทำงาน ก็ให้พนักงานทำ Work at Home เพื่อที่จะลดการเดินทางเข้ามายังออฟฟิศ และอนุญาตให้พนักงานขนย้ายอุปกรณ์กลับไปทำงานที่บ้านได้ ระหว่างการทำ Work at Home ก็จะมีการตรวจสอบการทำงานทุกๆ วัน ทั้งเช้าและเย็น เพื่อสร้างระบบการทำงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดิม
อนาคต
อยากจะฝากถึงผู้ประกอบการณ์ทุกท่านว่า “ไม่ว่าคุณจะเป็น Start-Up, SMEs หรือแม้แต่ผู้ที่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรในการเป็นผู้ประกอบการณ์ สิ่งแรกเลยที่คุณควรจะมีก็คือความอดทน คิดซะว่าอุปสรรคทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือการฝึกฝนให้ตัวเราแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเราแข็งแกร่งแล้ว ก็ต้องมีสังคม มีพาร์ทเนอร์ เพราะการทำสิ่งใดเพียงคนเดียว จะทำให้เราเติบโตช้าและขาดความมั่นคง และอีกสิ่งที่ห้ามละเลยก็คือความเห็นอกเห็นใจ เพราะการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จะทำให้เกิดการพัฒนาไปเรื่อยๆ อย่างไร้ที่สิ้นสุด
